16 ปีในการเทรด
16 ปีในการเทรด (ชีวประวัติของผม)
อะไรที่จะเป็นตัววัดว่าเราประสบความสำเร็จในการเทรด ?...
ลองมาดูแนวคิดของผมกัน :อะไรคือเกณ์ที่จะสรุปว่า เขาเป็นคนทำขนม ช่างประปา ทนาย หมอ แม่บ้าน หรือเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ?...
ด้วยหัวเรื่องนี้ผมอยากจะแบ่งปันชีวิตของผมในฐานะเทรดเดอร์หรือก็คือจะแสดงชีวประวัติของผมในฐานะเทรดเดอร์คนหนึ่ง
ตอนนี้ผมยังมีอายุแค่ 48 ปี แต่เมื่อตอนผมอายุ 16 -17 ปีผมเห็นว่าพ่อของผมอ่านหนังสือพิมพ์ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ซึ่งวันแล้ววันเล่า วันแล้ววันเล่า ซึ่งมันเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีโค๊ดเป็นตัวเลขของหน่วยงานลับระหว่างประเทศ ผมไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไม คน ๆ หนึ่งถึงได้สามารถเรียนรู้จากจำนวนตัวเลขหรือจำนวนชื่อจำนวนมหาศาลที่ไม่ได้มีความหมายอะไรซักอย่างกับผมได้อย่างไร?
ชื่อและตัวเลขที่ว่านั้นคือชื่อและราคาที่แตกต่างกันของราคาหุ้น ดัชนีและอัตราค่าเงิน
ความจริงก็คือผมมีความรู้สึกที่ว่าถ้าใครก็ตามสามารถอ่านหนังสือพิมพ์แล้วหาข้อมูลในหนังสือพิมพ์เป็นตัน ๆ แล้วเจอสิ่งที่จะทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ต้องเป็นอัจฉริยะอย่างแน่นอน ดังนั้นความประทับใจแรกที่จะเป็นเทรดเดอร์ต้องเป็นอะไรก็ตามที่เป็นมากกว่าการอ่านหนังสือพิมพ์แล้วทำให้เป็นอัจฉริยะได้ อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์ในเบลเยี่ยมก็ดีพอ ๆ กับ Wall street Journal
ไม่กี่ปีต่อมา ตอนนั้นผมอายุ 19-20 ปีโดยประมาณ ผมเริ่มที่จะสนใจตลาดหุ้นอย่างจริงจัง ซึ่งการจะค้นหาหุ้นจะต้องซื้อก็ต้องอ่านหนังสือพิมพ์(เพราะว่าตอนนั้นยังไม่มีข้อมูลมากนักในอินเตอร์เนท) ผมเริ่มเข้าใจมากขึ้นและมากขึ้นเกี่ยวกับข้อมูลที่หนังสือพิมพ์มี แต่ก็ยังคิดอยุ่ลึก ๆ ว่า โลกการเงินที่เรากำลังเกิดอยู่นี้ในหนังสือพิมพ์(คือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวาน) ซึ่งมันแตกต่างกับตอนที่เป็นอยู่ในเวลาปัจจุบัน เมื่อผมอ่านหนังสือพิมพ์ของผม ที่บอกว่า
หุ้นกำลังขึ้นหรือลงตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้มันเคลื่อนไหวทิศทางตรงกันข้ามกัน ผมเลยเข้าใจว่าการเทรดที่แม่นยำที่สุดมีไว้สำหรับคนที่มีข้อมูลแบบ real time เท่านั้นซึ่งทำให้ผมต้องตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปร่วมเกมส์ที่ผมไม่สามารถมีส่วนร่วมได้ แต่ผมก็ยังคอยตามอยู่ห่าง ๆ
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ข้อมูลแบบใหม่ได้เกิดขึ้น ผมสามารถอ่านข้อมูลได้จากทีวี เช่น กีฬา ข่าวต่างประเทศและก็เกี่ยวกับตลาดหุ้น แต่ว่าก็อาจจะช้าซักชั่วโมงหนึ่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่ข้อมูลบนอินเตอร์เนท แล้วหลังจากนั้นผมก็คิดว่าตอนนี้ผมสามารถเข้าร่วมตลาดการเงินโลกได้อีกครั้ง ความสนใจของผมเริ่มเติบโตขึ้นและคิดว่า ลำพังตลาดหุ้นไม่ได้ทำให้ผมสนใจที่จะกลับมาในเกมส์
เพราะว่ามันให้ความรู้สึกกว่า มันยาก ช้าเกินไป และต้องใช้เงินเยอะเกินไปยิ่งกว่านั้นคุณสามารถทำกำไรได้ก็ต่อเมื่อหุ้นขึ้นเท่านั้นเอง เพราะว่าถ้าหุ้นลงเราขาดทุน
บางคนที่ผมรู้จัก(ซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนที่ดีของผมและยังคงเล่นหุ้นอยู่) เริ่มจะอธิบายว่ายังมีสิ่งที่เรียกว่า option อยู่ เขาบอกผมว่ามี call option และ put option และขึ้นอยู่กับว่าถ้าคุณ buy หรือ Sell ทำให้เราสามารถทำกำไรได้แม้กระทั่งว่าราคาหุ้นมันตก ซึ่งเป็นช่วงที่ทำให้ผมมีไฟอีกครั้ง และทำให้ผมเข้าใจว่าเราไม่ต้องรอให้มีขาใหญ่ดันหุ้นให้ขึ้นแล้ว ที่ผมสามารถทำกำไรได้ ในทางกลับกันเมื่อผมรู้สึกว่าหุ้นขึ้นผมจะ buy call options ถ้าผมรู้สึกว่าหุ้นจะลง ผมก็จะปิด call option และ buy put options ใช่ ๆ ฉันสามารถทำกำไรได้จากแนวคิดนี้แม้ว่ามันจะขึ้นหรือลง
ความรู้สึกและความรู้ที่ฉันรู้สึกว่าสามารถควบคุมการขึ้นการลงนี้มันเปลี่ยนผมทั้งชีวิต จากความรู้สึกนั้น(ปี 1995) มันเริ่มชัดขึ้นในแนวทางที่ผมเลือกและอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของโลกการเงิน และเมื่อผมสามารถทำนายตลาดการเงินได้ มันทำให้ผมสามารถทำกำไรได้เท่าที่ผมต้องการ แต่สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งคือเป้าหมายของผมไม่ใช่เงิน มันเป็นความสามารถที่จะทำนายตลาดว่าจะไปทิศทางไหนได้เหมือนกัน
ซึ่งเป็นช่วงที่อินเตอร์เนทถือกำเนิดขึ้น ผมรู้สึกได้ทันทีและเข้าใจว่านี่จะเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนที่เป็นเทรดเดอร์ ไม่ว่าจะเป็นข่าว หรือราคาแบบ real time ซึ่งทุกคนสามารถเข้าถึงได้เพียงแค่คลิ๊กเมาส์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการเดินทางที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของผม ผมคิดว่าด้วยอินเตอร์เนทนี้จะทำให้ผมกลายเป็นมืออาชีพาภายในไม่กี่เดือน และถ้าผมเป็นมืออาชีพ ผมจะสามารถเลี้ยงชีพได้ด้วยการเทรด ซึ่งตอนนั้นผมยังเป็นนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์ ผมขับ Porsche 911 Targa ผมมีคนที่ผมรัก ผมมีลูกชายสองคนกับเธอ และเรามีบ้าน 300 เมตรห่างจากชายหาดและมีสวนอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเราฝันยังงั้นและมันทำให้ผมอยากจะเป็นเทรดเดอร์ให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ ผมรู้ว่าการที่จะทำให้ได้อย่างนั้น ผมจะต้องสามารถทำนายทิศทางตลาดหรือดัชนี หรือราคาหุ้นได้ มันทำให้ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางเทคนิค เช่น stochastic และ Par Sar MACD RSI MA ให้ความรู้สึกว่าผมมีอาวุธลับอยู่ในมือซึ่ง 99 % ของตลาดโลกไม่รู้ว่าผมมีและถ้าผมศึกษามันอย่างจริงจังผมจะได้เปรียบพวกเขาอย่างมาก ผมเริ่มซื้อหนังสือจาก amazon.com เกี่ยวกับการเทรดและกราฟแท่งเทียนและการวิเคราะห์ทางเทคนิค
ผมเริ่มที่จะเรียนรู้ในการสร้างระบบเทรด และอื่นๆ ซึ่งผมใช้เวลาประมาณวันละ 16 ชั่วโมงต่อวันนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ สัปดาห์ละ 7 วัน ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าเมียที่รักของผมไม่ชอบใจเลยเราทะเลาะกันหลายครั้งเกี่ยวกับสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่ ซึ่งมันทำให้ผมไม่ได้สนใจเธอ ลูก ๆ หรือครอบครัวเลย
ผมรู้และเข้าใจว่าสิ่งที่เธอพูดมันถูกแต่ว่ามันขัดกับสิ่งที่สุมอยู่ในใจของผม และยิ่งรุนแรงมากขึ้นมากกว่าสิ่งใดในชีวิตของผม ผมอยากจะเป็นเทรดเดอร์ อยากจะเป็นเทรดเดอร์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งเธอยื่นข้อเสนอให้ผม: ให้ผมเลิกเทรดหรือว่าจะหย่ากัน ซึ่งในตอนนั้นผมกำลังขาดทุนมากและเวลาได้ก็ได้มากเช่นกันเพราะว่าผมเทรดลอทใหญ่ แล้วสุดท้ายก็จะจบด้วยการขาดทุนหมดตัว ในไม่ช้าผมก็ไม่สามารถทำกำไรแล้วเลี้ยงตัวเองได้ และรู้สึกดีที่ได้อยู่กับภรรยาซึ่งเธอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้าน
มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดที่ผมเคยแต่ว่าผมก็เลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผมปรารถนา คือเป็นส่วนหนึ่งของโลกการเงิน ทำในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนอื่นไม่สามารถทำได้ ทำในสิ่งที่ผมสามารถพัฒนาขึ้นมา ที่มันออกมาจากหัวของผมไม่ใช่สิ่งที่คนอื่น ๆ รอบตัวผมอยากให้ผมทำ.
ในช่วงนั้นผมยังจำได้ว่า ผมอ่านคำกล่าวหนึ่งของขงจื้อได้ว่า : "ให้หางานที่คุณชอบ งานที่จะทำให้คุณไม่ต้องทำงานในวันข้างหน้า" คำพูดนี้เป็นคำตอบสำหรับชีวิตในสิ่งที่ผมตามหา ผมเลิกคิดเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวและรู้ว่าในช่วงนั้นมีแต่ผมและโลกการเงินเท่านั้นไม่ต้องการการสนับสนุนจากใคร ๆ ก็ตาม ผมจะสู้กับฉลามทางการเงินนี้ โดยไม่มีการปราณี ถ้าฆ่ามันไม่ได้ ก็แค่ถูกฆ่า
ผมยอมแลกความสัมพันธ์ 18 ปีกับเมียของผม บ้านและเด็ก ๆ ของผมโดยใช้เวลาเพียง 2 สัปดาห์
ด้วยการตัดสินใจของผม ผมได้เงินครึ่งหนึ่งของมูลค่าบ้านที่ขายในตอนนั้นราคา 125,000 ยูโร ผมเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเพราะว่าเวลาผมทุ่มเททั้งชีวิตให้กับการเทรด ผมนอนหน้าคอมพิวเตอร์ ผมอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเทรดทุกเล่ม ผมสามารถเขียนหนังสือได้เลย ทักษะการเรียนรู้ของผมเพิ่มขึ้นเป็นจรวด จบแบบว่าถ้าใครผ่าตัดผมจะพบแต่ กราฟ ระบบเทรด อินดิเคเตรอ์ และ อื่นๆ อยู่ในเส้นเลือดของผม แล้วผมทำกำไรได้ไหม? ให้ตายเถอะ แน่นอนต้องได้สิ ผมทำกำไรได้ก้อนใหญ่เหมือนที่ผมไม่เคยคิดว่าจะไม่เคยทำได้มาก่อน
------------------------------------------------------------------------------------------------------
แต่ว่า ก็อย่างที่คุณคาดไว้ ว่ากำไรเยอะ ผมเทรดในแบบที่ในไม่ช้ามันจะนำไปสู่ความเสียหายที่ใหญ่หลวง ผมไม่เคยใช้ Stoploss ในการเทรดและผมมักจะเทรดเฉลี่ยขาลงเสมอ ทุ ก ๆ ครั้งที่ผมเฉลี่ยขาลงผมจะได้กำไรมาก และโบรกเกอร์เตือนฉัน (ตอนนั้นยังเป็นแค่โบรคเกอร์ที่ใช้โทรศัพท์) ด้วยคำพูดในลักษณะที่ว่า อีกอร์ คุณได้กำไรตอนนี้หน่ะใช้ แต่มันจะมีวันหนึ่งที่คุณจะติด position แล้วขาดทุนหมดตัว อย่างที่ผม ผมรู้สึกว่าผมยิ่งใหญ่ ไม่ฟังใครและไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูด
วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2001 ( 1 ปีหลังจากหย่า) ความผยองของผมหยุดลงทันที ภายใน 48 ชั่วโมงผมเสียทุกอย่าง ทุกเพนนี ทุกดอลล่าร์ ยูโร ที่ผมทำได้และเก็บมาตลอดชีวิต ผมส่งสัญญา future มากเกินไปใน ผมซื้อหุ้น Daxxetra (ดัชนีหุ้นเยอรมัน) โดยการเฉลี่ยขาลงซึ่งตอนนั้นดัชนีร่วงลงยังกับอุกาบาตตกใส่โลก
โบรคเกอร์โทรหาผมหลังจากตลาดปิด : ผมเสียใจด้วยอีกอร์ เงินคุณหมดแล้ว ผมพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ position ของคุณเปิดอยู่ได้ครับ แม้แต่การรักษามาร์จินให้จนเหลือ 0 แล้วพรุ่งนี้คุณไม่สามารถเทรดได้อีกแล้วคุณไม่มีเงินเหลือแล้วครับ
ผมพูดกับเขา: ขอบคุณและวางโทรศัพท์และผมนอนไม่หลับไป 2 วัน ผมยังคงจ้องไปที่กราฟและโปรแกรมเทรด ผมแทบจะสิ้นทุกอย่าง และรู้สึกราวกับจะตาย ผมรู้สึกว่าฉลามกินผมและไม่ได้สนใจเลยว่าผมจะรู้สึกยังไงกับการที่คนหนึ่งต้องสูญสิ้นชีวิตไป เพราะมันไม่รู้จักผม พวกมันไม่เห็นหน้าผมมาก่อน ไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไง ไม่รู้ว่าผมท้อแท้ในชีวิต ณ จุดนี้
ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นทุกวัน ๆ จนในที่สุดผมเริ่มรู้สึกที่อยากจะฆ่าตัวตาย และผมเริ่มคิดว่า จะตายอย่างไรดี? ผมเกลียดความเจ็บปวด และ ความรุนแรง ผมเลยเลือกที่จะใช้ยาซึ่งน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเทรดเดอร์ที่โชคไม่ดีอย่างผม ในช่วงเดียวกันนั้น(ไม่ได้นอนมาเป็นเวลา 48 ชั่วโมง) ลูกชายผมตอนนั้นอายุ 8 ปีแล้ว เข้ามาที่อพาร์ทเมนท์ของผม พร้อมกับรอยยิ้มและพูดคำที่ทำให้ผมรู้สึกตัวได้ : สวัสดีครับ คุณพ่อ เขาเข้ามาหาผมและกอดผมและกอดผม แล้วกอดผมแน่นมากพร้อมกับพูดว่า พ่อทำอะไรอยู่ครับ? ตอนนั้นผมเข้าใจว่าการตอบว่ากำลังจะฆ่าตัวตายคงไม่ใช่คำตอบที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะว่าลูกชายของผมรักผมและผมรักเขาด้วยเช่นกัน
ไม่กี่วันต่อมา ผมได้ตัดสินใจ ผมต้องการที่จะเป็นเทรดเดอร์ แต่ว่าผมไม่มีเงินจะเริ่มอีกแล้ว ผมเข้าใจว่าการเริ่มเทรดทันทีจะไม่เป็นการตัดสินใจที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะว่าผมรู้สึกเพียงแค่อยากจะเอาคืนจากการเทรดเท่านั้น ผมเพียงอยากได้เงินของผมคืน ผมเข้าใจว่าการเทรดแบบนี้จะนำไปสู่ความล้มเหลวอีก ผมได้คุยกับเพื่อนที่เป็นนักลงทุนเหมือนกัน ผมอธิบายเรื่องของผมและสไตล์การเทรดและความผิดพลาดครั้ง ในช่วงนั้นน่าจะเป็นเดือนมิถุนายน เขาบอกผมว่า : ผม่จะจ่ายให้คุณทุกเดือนนิดหน่อย ซึ่งด้วยเงินขนาดนั้นคุณเลี้ยงตัวเองลำบากถึงขนาดต้องจำกัดจำเขี่ย ผมเทรด 3 เดือนบนเดโม และเขาบอกผมว่าห้ามเฉลี่ยขาลง และทุก ๆ การเทรดคุณต้องกำหนด Stop loss และ Take Profit ชัดเจน
ผมเทรดเกือบจะ 3 เดือนบนบัญชีเดโม ด้วยวินัยและช่วงปลายเดือนกันยายนเพื่อนของผมบอกผมว่า: ลองเทรดดูอีกครั้งละกัน! ผมรู้สึกว่านี้เป็นโอกาสสุดท้ายของผมจริง ๆ ที่จะเป็นเทรดเดอร์ได้ ผมคิดว่าเงินที่ผมเสียไปนั้นเป็นเงินที่เสียไปแล้ว ผมยอมรับความพ่ายแพ้ และผมมองแต่อนาคต มองไปข้างหน้าและเริ่มทุกอย่างจาก 0 อีกครั้ง ตอนนั้นผมอายุ 38 ปี
ทุก ๆ อย่างเป็นไปด้วยดี ผมเริ่มสนใจเกี่ยวกับการเทรดโดยการใช้ EA ผมคิดว่าระบบเทรดนั้นดีกว่าการเทรดและต้องจะกับการตัดสินใจบ่อยครั้งมาก ๆ เพราะมันไม่มีความรู้สึกโลกและความรู้สึกโกรธอีก ซึ่งมันเริ่มดีขึ้นเรื่อย ผมเริ่มทำความรู้จักกับผู้หญิงคนใหม่ และเธอเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจและเธอมีเพื่อนที่สนใจในการลงทุนเยอะ เงินถูกโอนมาในบัญชีผมมากขึ้น ผมในฐานะผู้จัดการกองทุน ซึ่งในที่สุดมันก็ถึง 1 ล้านเหรียญ ซึ่งผมทำได้ดี แต่เป็นอีกครั้งที่ปีศาจด้านมืดที่ซ่อนอยู่ในตัวผมบอกผมว่า : ลองเสี่ยงมากขึ้นและทำเงินให้ได้มากกว่านี้ คุณทำได้อยู่แล้วเชื่อสิ !
ผมเริ่มที่จะสำรวจการเทรดของตัวเอง ซึ่งพบว่าผมเสี่ยงมากเกินไป และผมขาดทุน 50 % ของเงินที่คนอื่นได้ลงทุนกับผม ในตอนนั้นคนเหล่านั้นตัดขาดจากผม และ ความสัมพันธ์ของผมกับแฟนก็ล้มเหลวอีกครั้งและเพื่อนของเธอบอกว่าไม่อยากจะลงทุนอีกแล้ว ผมรู้ว่าผมจะกลับไปในจุดที่จะไม่มีอะไรเหลือเลยอีกครั้ง ไม่มีเงิน ไม่มีแฟน
ผมกลับไปอยู่อพาร์ทเมนท์เล็ก ๆ อีกครั้ง แต่ความจริงน่าจะเรียกว่ากล่องจดหมายมากกว่าอพาร์ทเมน ผมคิดมากเกี่ยวกับชีวิตของผมและเข้าใจว่าทางที่ผมเลือกเดินมาเกือบ 10 ปีไม่ได้ทำให้ผมไปไหนเลย ผมรู้สึกเหมือนเทรดเดอร์ และเป็นเทรดเดอร์แต่ว่าไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลย ไม่มีรถ ไม่มีบ้าน และมีแค่ลูกชายที่ยังสนับสนุนผมอยู่และเพื่อนในวงการเทรดที่ยังช่วยเหลือผมอยู่ตั้งแต่แรก ผมถามเขาอีกครั้งว่า จะช่วยผมได้ไหม เขากล่าวว่า : คุณไม่จำเป็นต้องมาหาผมและจะบอกว่าว่า ผมจะทำกำไรให้คุณ 1250 ยูโรทุกเดือน ภายใน 1 ปีคุณต้องทำกำไรให้ได้ ถ้าไม่ได้เราเลิกคบกันไปเลย ซึ่งมันฟังดูแปลก ๆ แต่ว่าเขารู้ว่าบางครั้งเราต้องปล่อยความฝันของตัวเองทิ้งไปบ้าง โดยเฉพาะคนที่อายุปาเข้าไป 42 ปีแล้ว
ในช่วงนั้นผมใช้เวลาอยู่บนเว็บบอร์ดอย่างเช่น strategybuilder.com และเว็บบอร์ดที่นี่ forex-tsd ผมรู้ว่าผมมีความรู้มากกว่าเทรดเดอร์คนไหนที่เรียกตัวเองว่าเทรดเดอร์หรือคนที่ฝันอยากจะเลี้ยงตัวเองด้วยการเทรด ผมรู้ว่านี่เป็นหนทางที่ยากที่สุดที่จะเดินไป เป็นงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่คน ๆ หนึ่งจะเลือก ที่คนหนึ่งสามารถทำได้ดีไปหลายปี ขณะที่อีกคนหนึ่งสามารถสูญเสียทุกอย่างภายในระยะเวลาอันสั้น
และผมก็เริ่มสร้างชื่อเสียงบน บอร์ด forex-tsd แห่งนี้และบอร์ดอื่นๆ เช่นนี้แล้วผมรู้ว่าเทรดเดอร์หลาย ๆ คนเริ่มติดตามผม และผมโพสต์เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย ผมโพสต์เรื่องที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่จุดประกายให้ผมทำการเทรดอีกครั้งเพื่อที่จะเป็นเทรดเดอร์ให้ได้ ผมเริ่มเข้าใจว่าไม่เพียงผมจะมีแรงกดดันจากเพื่อนที่สนับสนุนผมตลอดเวลาแล้ว แต่ว่ายังมีอีกหลายคนที่คอยตามผม และนี่ทำให้ผมต้องตัดสินใจสักอย่าง ซึ่งก็คือการเทรดในรูปแบบดังเดิมที่คนยึดถือกัน ผมทำตามระบบของผม แต่ไม่พยายามที่จะเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทำกำไร 50 % ซึ่งมากกว่า Warren Buffet ทำได้ 30% ต่อปี ซึ่งเขาทำอย่างนี้มาเป็นเวลา 35 ปีและกลายเป็นบุคคลที่รวยที่สุดอันดับ 2 ของโลก ผมบอกตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า : ลืมไปเสียว่าคุณได้กำไรเท่าไหร่เพราะว่ามันจะนำความหายนะมาสู่คุณไม่ช้าก็เร็ว
มันอาจจะฟังดูเหมือนโง่ ๆ แต่ว่าหลังจากนั้นผมเรียนรู้ทุก ๆ วัน ไม่เพียงแต่การเทรดอย่างไรเท่านั้น แต่ว่าผมเรียนรู้ว่าเราไม่ควรเทรดอย่างไรด้วย ผมเริ่มมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการจัดการเงิน ซึ่งผมเชื่อว่าเราไม่ควรเสี่ยงเกิน 2 % ของการเทรด 1 ครั้ง
ผมทราบซึ้งว่า การที่จะอยู่ได้ในฐานะเทรดเดอร์คือการไม่เสี่ยงมากเกินไปและอย่าใส่ไข่ของคุณในตะกร้าใบเดียว การเทรดหลายคู่หรือหลายระบบ เทรดหลายโบรคเกอร์ เริ่มจากเงินน้อย ๆ และทำกำไรอย่างต่อเนื่องแทนที่จะทำกำไรได้มหาศาลแต่ว่าจบด้วยการไม่เหลืออะไรเลย
หลาย ๆ คนในบอร์ด forex-tsd ยังมีคนที่มีคนที่ไม่ได้ใช้เงินเย็นในการเทรด ซึ่งคราวแล้วคราวเล่า เรารวมตัวกัน ราวกับ ลูกบอลหิมะเริ่มที่จะใหญ่ขึ้น ๆ เราเริ่มด้วยการลงทุนด้วยเงินน้อย ๆ บางคนก็ไม่ได้เข้ากลุ่มผมภายหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ เพราะว่าเห็นผมขาดทุนเพราะพวกเขามัวแต่คิดว่า คนที่เทรดได้กำไรจะต้องไม่ขาดทุน แต่ว่าผมไม่กังวลอีก ผมรู้ว่ามันเป็นธรรมชาติของการที่จะเลือกลงทุน หรือว่าจะเสี่ยงเงินทุนของคุณในบ่อน
การเทรดของผมเริ่มโอเคและเพื่อนที่ดีที่สุดของผมยังคงเทรดกับผม(ซึ่งผมอยากจะขอบคุณเขามากเพราะว่าเขาเชื่อในตัวผมตั้งแต่ต้น และเพราะว่าเขานั่นแหละผมยังได้เป็นเทรดเดอร์) ) และมีคนมาลงทุนกับผมมากขึ้น มากขึ้นทุกปี และผมคงต้องขอบคุณ forex-tsd ที่ให้โอกาสผมได้แสดงผลงานเทรดของตัวเอง ให้โอกาศผมได้เงินจากการเทรด จากการสอนเทรดและช่วยให้คนอื่นทำเงินจากการเทรด ผมได้เงินจากการสอนและมีห้องเทรดของผมเอง
ช่วงนั้นผมเริ่มที่จะพัฒนาระบบของผมและเริ่มออกแบบ EA ที่จะใช้เงินของผมลงทุนในมัน เพราะผมมีเงินลงทุนเพียงพอแล้ว ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ผมมีเงินลงทุนในบัญชี Pamm อยู่ราว ๆ 1.3 ล้านเหรียญ ในฐานะผู้จัดการผมยังรับงานเป็นเทรดเดอร์ในบริษัทแห่งหนึ่งใน Eastern-Europe
สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผมรู้คือ ผมไม่เคยคิดที่จะพยายามเสี่ยงหรือคิดว่าผมจะสามารถรวยได้ภายใน 1 ปีอีก ผมไม่ได้มีรายได้ทางเดียว และมีมีเงินเดือนทุกเดือนเหมือนกับที่พนักงานคนอื่นได้เงิน แต่ผมไม่รู้หรอกว่าผมมีรายได้ต่อเดือนเท่าไหร่ แต่ผมมรู้ว่านี่คือชีวิตที่ใช่สำหรับผม ผมจะไม่เคยคิดเลยว่าผมจะทำกำไรได้ต่อเดือนเท่าไหร่ เพราะว่ามันทำให้ผมต้องมานั่งนับวันเวลาวันแล้ววันเล่าว่าเมื่อไหร่จะถึงวันเกษียณของผม
นักลงทุนของผมรู้สึกภูมิใจกับเงินผลตอบแทนที่เขาลงทุน และพวกเขาได้เงินผลตอบแทนมากขึ้นจากหุ้นที่พวกเขาเล่น รวมทั้งการลงทุนในบัญชีผมที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับตลาดหุ้น ผมยังคงอยู่ในห้องเช่าขนาดเท่ากล่องจดหมาย ผมยังไม่ได้ขับรถ แต่ผมรู้ว่าผมอาศัยอยู่ได้ด้วยกำไรจากการเทรดและนี่คือสิ่งที่ทำให้ผมบรรลุเป้าหมาย การเป็นส่วนหนึ่งในโลกการเงิน และฉลาดกว่าคน 95 % ของคนในโลกการเงิน เพราะว่า 95 % ของคนเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเลิกเมื่อเทรดไป 3 ปี ผมต้องขอบคุณคนที่เชื่อในตัวผมและคนที่ลงทุนกับผม ผมดีใจที่ได้เป็นเทรดเดอร์มันเป็นงานที่ยากที่สุดในโลก คุณต้องเป็นมากกว่าฉลามในโลกใบนี้ แม้ว่าคุณจะได้กำไรปีแล้วปีเล่า แต่เราก็ยังยืนอยู่ตรงปากเหวที่อาจจะทำให้คุณขาดทุนเมือ่ไหร่ก็ได้
ถ้าผมมีโอกาสให้ผมย้อนกลับไป ณ จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ผมจะยังเป็นเทรดเดอร์ไหม? ซึ่งคงเป็นคำถามที่ยากที่สุดสำหรับผม ผมไม่รู้จริง ๆ ผมย้อมแพ้ในชีวิตผมหลายครั้งกว่าจะมาถึงตรงนี้ ผมเสียแฟนไป 2 ครั้งและมันก็เป็นที่พอใจมากที่ผมได้เป็นเทรดเดอร์และอยู่ได้ด้วยการเทรด ผมเป็นอิสระ ไม่มีใครบอกผมว่าต้องทำอะไรบ้าง ผมทำงานของผมเอง จากที่ไหนก็ได้ในโลกถ้ามีอินเตอร์เนท อย่างที่ขงจื้อ นำทางผมมา: ผมไม่เคยมีความรู้สึกกว่าวันหนึ่งในชีวิตผมกำลังทำงานอยู่ เพราะว่าผมรักงานที่ผมทำในฐานะเทรดเดอร์อย่างมาก
ผมเพียงพยายามที่จะพูดว่า :ใช้ผมประสบความสำเร็จในฐานะเทรดเดอร์ ผมทำกำไรได้มาก แต่ว่าผมคงไม่แนนะนำให้ใครมาเป็นเทรดเดอร์ มันเป็นสิ่งที่ยาก และยากที่สุดที่จะทำได้
รายละเอียดอย่างหนึ่งที่สำคัญและผมรู้สึกว่าในตลอดชีวิตการเทรดของผมคือ กฏที่ว่า 5 % ของเทรดเดอร์สามารถทำกำไรได้ ผมเห็นตัวเองในตอนแรกผมเป็นคน 95% ที่ขาดทุนนั้น ซึ่งคนแล้วคนเล่าที่เข้ามาในโลกการเทรดเชื่อว่าพวกเขาจะเป็น 5% นั้นได้ A
ผมเทรดและเลี้ยงตัวเองในฐานะมืออาชีพ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ เช่นเดียวกับคนทำขนมปัง นักกฏหมาย ถ้าพวกเขาไม่เคยสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงประสบความสำเร็จ ผมก็คงไม่เคยสงสัยในตัวเองว่าผมทำไมถึงประสบความสำเร็จ
จากใจ … FXiGoR
Comments
Post a Comment